ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก
มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมืองใกล้ตลาดหัวรอ
สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งยังทรงเป็นมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก
เมื่อ พ.ศ.2112 เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระยุพราช และพระมหากษัตริย์ หลายพระองค์เมื่อคราวเสียกรุงในปี
พ.ศ.2310 วังนี้ได้ถูกข้าศึกเผาทำลายเสียหายมากและถูกทิ้งร้าง จนถึงรัชกาลที่ 4
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้โปรดให้ซ่อมพระที่นั่งพิมานรัตยา
และพลับพลาจตุรมุขไว้เป็นที่ประทับเมื่อเสด็จพระพาสพระนครศรีอยุธยา
และสมัยรัชกาลที่ 7 โปรดให้เปลี่ยนเป็นศาลากลางจังหวัด จนกระทั่งได้สร้างศาลากลางใหม่แล้ว
กรมศิลปากรจึงได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจนถึงปัจจุบันนี้เปิดให้เข้าชมทุกวันเว้นวันจันทร์
อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. - 16.00 น.
พระราชวังบางปะอิน
มีประวัติความเป็นมาตามพระราชพงศาวดารครั้งกรุงศรีอยุธยาว่า
" พระเจ้าปราสาททองหรือพระศรีสรรเพ็ชญ์ที่ 5 ( พ.ศ. 2172-2199 )
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นบนเกาะบ้านเลนในลำแม่น้ำเจ้าพระยา"
ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่า
พระเจ้าปราสาททองเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถประสูติแต่หญิงชาวบ้าน
ซึ่งพระองค์ทรงพบเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่งแล้วเกิดล่มลงตรงเกาะบางปะอิน
เมื่อพระเจ้าปราสาททองขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2173 แล้วต่อมาในปี พ.ศ. 2175
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งบนเกาะบางปะอินตรงบริเวณเคหสถานเดิมของพระมารดา
พระราชทานชื่อว่า " วัดชุมพลนิกายาราม
"และให้ขุดสระน้ำสร้างพระราชนิเวศน์สถานขึ้นกลางเกาะเป็นที่สำหรับเสด็จประพาส
แล้วสร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งขึ้นริมสระน้ำนั้น พระราชทานนามว่า "
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์
"พระราชวังแห่งนี้คงเป็นที่ประพาสสำราญพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดมา
และคงรกร้างทรุดโทรมไปแต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2310 เป็นต้นมา
พระราชวังบางปะอิน
ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งสำหรับเป็นที่ประทับ
มีเรือนแถวสำหรับฝ่ายในและมีพลับพลาริมน้ำ เป็นต้น
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
พระองค์โปรดที่จะเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินอยู่เสมอ
ด้วยทรงปรารภว่าเป็นเกาะอยู่กลางน้ำ เงียบสงบ ร่มรื่น และเคยเป็นที่ประทับประพาสของสมเด็จพระบรมชนกนาถมาก่อน
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้น
ดังที่ปรากฎให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งยังคงใช้เป็นที่ประทับต้อนรับพระราชอาคันตูกะ
และพระราชทานเลี้ยงรับรองในโอกาสต่างๆ เป็นครั้งคราว
พระราชวังบางปะอิน เปิดให้เข้าชมทุกวันในเวลาระหว่าง 08.00 - 17.00 น.
โดยต้องแต่งกายในชุดสุภาพ และขณะเข้าชมผู้ชมไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
ตั้งอยู่ที่ตำบลประตูชัย ใกล้กับศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (หลังเก่า ) เยื้องมหาวิทยาลัยราชภัฏ
พระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 โดยใช้เงินที่ประชาชนเช่า
พระพิมพ์ซึ่งขุดได้จาก กรุวัดราชบูรณะที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (
เจ้าสามพระยา) ทรงสร้าง จึงให้ชื่อว่า " เจ้าสามพระยา" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งนี้เมื่อปีพ.ศ.2504 พิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติเจ้าสามพระยา เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีรูปแบบการจัดแสดงแผนใหม่
คือ นำโบราณวัตถุมาจัดแสดงไม่มากจนแน่นและได้นำ เสนอดูน่าสนใจมาก สภาพอาคารเป็นอาคารทรงไทยประยุกต์สิ่งที่น่าสนใจ
ได้แก่ พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่เคยประดิษฐานในซุ้ม
พระสถูปโบราณวัดพระเมรุ จังหวัดนครปฐมซึ่งกรมศิลปากรได้พยายามติดตาม ชิ้นส่วนต่าง
ๆขององค์พระที่กระจัดกระจาย ไปอยู่ในที่ต่าง ๆ
มาประกอบขึ้นเป็นองค์พระได้อย่างสมบูรณ์นับว่าเป็น
พระพุทธรูปที่มีค่ามากองค์หนึ่งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
เจ้าสามพระยาเปิดให้ชมทุกวัน เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ตั้งแต่เวลา 09.00 น. - 16.00
น.
พิพิธภัณฑ์พระอุบาลีมหาเถระ
พิพิธภัณฑ์พระอุบาลี
ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเฉลิมฉลอง 260 ปี (พ.ศ. 2556)
แห่งการสถาปนาพระพุทธศาสนาสยามนิกาย ในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
น้อมระลึกถึงพระอาลีมหาเถระ พระอริยสงฆ์ที่ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา
สมควรยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกแห่งปีอีกด้วย โดยมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 26
ธันวาคม 2556 เป็นการจัดแสดงในอาคารแบ่งออกเป็น
7 โซนแนวคิดหลักในการนำเสนอ “ธรรมพลี” ของพระอุบาลีมหาเถระ
ความเสียสละ ความวิริยะ อุตสาหะ ผลงานการกอบกู้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาหอจดหมายเหตุทุ่งมะขามหย่อง
พิพิธภัณฑ์มอญ วัดทองบ่อ
ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลขนอนหลวง อำเภอบางปะอิน พิพิธภัณฑ์มอญ
ภายในวัดทองบ่อ มีศิลปะที่แสดงถึงวัฒนธรรมมอญหลายอย่าง เช่น พระพุทธรูปแบบพม่า
คัมภีร์ใบลานหรือคัมภีร์ที่ทำด้วยงาช้างและ เขียนตัวหนังสือมอญด้วยรักสีดำ
ที่ยังคงความสมบูรณ์และหาดูที่ไหนไม่ได้แล้ว
พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น เกริกยุ้นพันธ์
สะสมและรวบรวมของเล่นดีๆ
ระดับโลกไว้มากมาย ทั้งของเล่นที่มีอายุนับร้อยๆ ปี ไปจนถึงของเล่นยุคปัจจุบัน
ของเล่นไทยและของเล่นจากต่างประเทศ รวมถึงของเล่นสังกะสีจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นยุคทองของของเล่น
เวลาทำการ : 9.00 - 16.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ ยกเว้น วันจันทร์ที่เป็นวันนักขัตฤกษ์และวันหยุดราชการ
พิพิธภัณฑ์เปิดทำการปกติ ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 50 บาท / เด็ก 20 บาท แผนที่
พิพิธภัณฑ์หัตถกรรมอรัญญิก
มีดอรัญญิก
ได้รับการสืบทอดจากช่างตีเหล็กเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเพื่อใช้ในการสู้รบกับข้าศึก
แต่ปัจจุบันได้มีการออกแบบเป็นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยยังใช้กรรมวิธีแบบโบราณ
เป็นผลิตภัณฑ์โอทอปที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงมากของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทำกันมาก ที่บ้านต้นโพธิ์และบ้านไผ่หนอง
ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวบ้านต้นโพธิ์และชาวบ้านไผ่หนอง
สามารถเข้าไปเยี่ยมชมการตีมีดได้ที่บ้านต้นโพธิ์
อ. นครหลวง จ. พระนครศรีอยุธยาโดยมีพิธีการเปิดย่านการค้า
"ผลิตภัณฑ์อรัญญิก"จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา
เปิดให้เข้าชมทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์
พิพิธภัณฑ์เรือไทย
พิพิธภัณฑ์เรือไทย
ตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามกับวัดมหาธาตุ ฃถนนบางเอียน ภายในบริเวณบ้านพักของอาจารย์ไพฑูรย์
ขาวมาลา ผู้มีความรักและผูกพันกับเรือและน้ำมาตั้งแต่เด็กท่านมีความคิดที่จะอนุรักษ์
เพื่อให้เยาวชนได้เห็นถึงภูมิปัญญาชาวบ้าน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นบ้านทรงไทย
ขนาดใหญ่ไม้สักฝาเฝี้ยม
ชั้นล่าง จัดแสดงเรือจำลองต่างๆ เรือพระราชพิธี โดยต่อขึ้นตามแบบเรือจริงทุกประการ
ปัจจุบันมีผลงานนับร้อยลำตั้งแต่เรือเดินสมุทรไปจนถึงเรือแจวลำเล็กๆ
และมีส่วนที่จัดแสดงเรือไทยพื้นบ้านนานาชนิดหลายรูปแบบที่ปัจจุบันหาดูได้ ยากตามแม่น้ำลำคลอง
เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมทุกวันในบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเอง ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00
น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์ท่องเที่ยวอยุธยา
(ศาลากลางหลังเก่า)
ชั้นล่าง
ด้านหน้าปีกขวา เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ให้บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยว
ชั้นบน จัดเป็น "หอนิทรรศการประวัติศาสตร์อยุธยา"
จัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับวัดต่างๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเพณีต่างๆ
อยุธยามรดกโลก ท่องเที่ยวเมืองอยุธยา ศิลปกรรมแห่งอาณาจักรอยุธยา
วิถีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่นเปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันพุธ เวลา 09.00-17.00 น.
ในส่วนของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เปิดให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา
09.00–-17.00 น.
ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
บนพื้นที่กว่า
1,000 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตอำเภอบางไทรแห่งนี้
เป็นจุดกำเนิดการส่งเสริมศักยภาพงานหัตถกรรมเพื่อก้าวสู่ความเป็นเลิศทางฝีมือและความนิยมทั้งในและต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย
ซึ่งเกิดขึ้นตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงเยี่ยมราษฎรทั่วทุกหย่อมหญ้าในประเทศไทย
ทรงตระหนักถึงภูมิปัญญาและฝีมือเชิงช่างของชาวบ้าน
หากทรงตระหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันว่าราษฎรมีสภาพความเป็นอยู่อย่างยากจนด้วยเช่นกัน
เหตุนี้เอง จึงมีพระราชประสงค์จะส่งเสริมและสร้างอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืนแก่ราษฎร
โดยทรงสนพระทัยในงานหัตถกรรมพื้นบ้านจากวัสดุในท้องถิ่น
ซึ่งทำให้ผลงานมีความแตกต่างกันออกไปอย่างมีเอกลักษณ์ด้วย จึงทรงจัดครูไปฝึกสอน
และพัฒนาคุณภาพของผลงานให้ดีขึ้น จากประกายความหวังในวันนั้น
ได้กลายมาเป็นศูนย์ศิลปาชีพบางไทรที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่ยอมรับไปทั่วในระดับประเทศและระดับสากลดังเช่นทุกวันนี้
หอจดหมายเหตุทุ่งมะขามหย่องตั้งอยู่ที่
ตำบลบ้านใหม่
อำเภอ
พระนครศรีอยุธยา หอจดหมายเหตุ จัดสร้างขึ้น
เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
ในการเสด็จพระราชดำเนินทุ่งมะขามหย่อง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2555
และต้องการให้ประชาชน ได้รู้ถึงประวัติศาสตร์ของทุ่งมะขามหย่องมากขึ้น
ทั้งทางที่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงออกทำศึกปกป้องแผ่นดิน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทรงนำทหารออกรบข้าศึก ที่มาตั้งค่ายที่ทุ่งมะขามหย่อง นอกจากนี้ หอจดหมายเหตุแห่งนี้ก็ยังบอกเล่าถึงเรื่องราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเกี่ยวข้าวที่ทุ่งมะขามหย่องในปี 2493
และทรงมีพระราชดำริให้ใช้ทุ่งมะขามหย่องเป็นพื้นที่แก้มลิงรองรับน้ำที่ไหลบ่าทุกปี
มีระบบชลประทานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นประโยชน์กับราษฎรในพื้นที่
ปางช้างอยุธยา แล
เพนียด
แตกต่างจากเพนียดทุกแห่งในโลก
เพราะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมือง ที่เป็นเช่นนี้เพราะตั้งใจให้วังช้างอยุธยา
แล เพนียด หรือชื่อเดิมว่าปางช้างอยุธยา แล เพนียด เข้ามาเกื้อกูลการท่องเที่ยวของเมืองเก่า
ในวาระที่องค์กรยูเนสโกแห่งสหประชาชาติประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาเป็นมรดกโลก
ซึ่งจัดงานเปิดตัวยิ่งใหญ่ เพราะนำขบวนช้างใหญ่ถึง 109 เชือก
มาทำพิธีคล้องช้างตามตำราหลวงเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2540 เวลาผ่านไป
20 ปี วังช้างแห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางช้างรอบด้าน
ทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งภายในมี ลานพักช้างใหญ่
เป็นโซนพักผ่อนของควาญและช้าง
ใครผ่านไปใครผ่านมาก็ป้อนกล้วยอ้อยให้ช้างยื่นงวงมางับได้จากมือและเซลฟีกับช้างได้จากนอกลานที่มีเชือกกั้นไว้
อีกส่วนที่น่าไปชมคือ ที่ถือเป็นไฮไลต์เด็ด มีกิจกรรมถ่ายรูปคู่กับช้าง
วันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
จะมีโชว์กิจกรรมประกอบจังหวะของช้างน้อยที่มีเสียงพากย์ประกอบเรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดู
และกิจกรรมยอดฮิต
ลอดท้องช้างเพื่อสิริมงคลที่แฝงความตื่นเต้นจากวันแรกที่มีช้างประจำการ 8 เชือก ปัจจุบันมีลูกหลานเพิ่มขึ้นมากว่า 100
เชือก และมีช้างที่ตกลูกรวมทั้งสิ้น 72 เชือก
จึงผุดโครงการต่างๆ ที่สร้างคุณูปการอย่างยิ่งต่อประเทศไทย อาทิ
ศูนย์การผสมพันธ์ช้าง (สืบสานสายพันธุ์) ช้างไทย โครงการอนุบาลช้างน้อย
โครงการบ้านพักช้างชรา โครงการฝึกช้างแบบตำราหลวงไม่ผิดไปจากความปรารถนาในการตั้งชื่อปางว่า
วังช้างอยุธยา แล เพนียด เพราะคำว่า แล แปลว่า แลมอง แลเห็น แลดู
ส่วนคำว่าเพนียดหมายถึงที่สถานจับช้างในสมัยโบราณ
จึงรวมความได้ว่าเป็นสถานที่พักพิงและดูแลช้าง วันธรรมดามีบริการขี่ช้างทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. ราคา 100-500 บาท ตามระยะเวลา 15 หรือ 30 นาที
ถ่ายรูปกับช้าง 40 บาท
และมีที่พักให้ค้างคืนเพื่อสัมผัสการเลี้ยงช้างอย่างใกล้ชิด











ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น